top of page

ชอบพื้นไม้ มีอะไรให้เลือกบ้าง?

  • รูปภาพนักเขียน: dc builder
    dc builder
  • 16 ต.ค. 2564
  • ยาว 4 นาที

ไม้เป็นวัสดุที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่ สุดเนื่องจากอากาศเป็นแบบร้อนชื้น คือมีความร้อนจากแดดจัด และมีความชื้นจากฝน ดังนั้นวัสดุที่ไม่เก็บความร้อนและระบายความชื้นออกได้ดี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไม้ ดังนั้นบรรพบุรุษของไทยเราจึงสร้างบ้านจากไม้ โดยเฉพาะไม้ที่ไม่ยืดหรือหดตัวมากแบบไม้สัก

พื้นไม้มีมากมายหลายรูปแบบให้เลือก โดยเฉพาะปัจจุบันมีไม้เทียม ทำให้บางครั้งถึงกับสับสนไปหมด ดังนั้นเพื่อให้สามารถเข้าใจในการเลือกใช้ได้ตรงใจ ดังนั้นเรามาเริ่มที่ประเภทของไม้กันก่อน

1.ไม้ธรรมชาติ เป็นไม้ที่แปรรูปตัดมาจากท่อนซุง แต่เนื้อไม้มีทั้ง เนื้อแข็งและเนื้ออ่อน ซึ่งไม้เนื้อแข็งเป็นไม้ที่เหมาะสมสำหรับการนำมาทำพื้นไม้ แต่นอกจากนั้นการเลือกที่สำหรับที่สุดคือลวดลายและสีของไม้ โดยทั่วไปสามารถแบ่งตามแหล่งที่มา ได้แก่

-ไม้ธรรมชาติในประเทศ ส่วนใหญ่จะเป็นไม้สีเข้ม ในโทนร้อน เช่น น้ำตาลเหลือง สีน้ำตาลปนส้ม สีน้ำตาลอมแดง ที่นิยมนำมาทำพื้นไม้โดยเรียงตามระดับของราคา ดังนี้

  • ไม้สัก เป็นไม้เนื้ออ่อน สีน้ำตาลออกเหลืองทอง มีหลายชนิด เช่น สักขี้ควาย แต่พันธุ์ที่มีลวดลายสวยงามคือ สักทอง ไม้สักมีคุณสมบัติสำคัญคือปลวกไม่กินเนื้อไม้ แต่ต้องเป็นต้นที่มีอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป อันนี้ได้ความรู้มาจากการสนทนากับเจ้าของโรงไม้ว่าปัจจุบันเป็นไม้สักป่าปลูกต้นยังอ่อนก็นำมาใช้งานแล้ว และการยืดหดตัวของไม้ไม่มากเมื่อถูกความชื้นจากฝนและความร้อนจากแดด ทำให้ไม้สักนิยมนำมาใช้งานได้เกือบทุกอย่าง ทั้งพื้นไม้แผ่นยาว ไม้บันได ราวบันได ประตูไม้ เฟอร์นิเจอร์ งานแกะสลักไม้ต่างๆ งานฝ้าเพดานหรือผนังตกแต่ง จนกระทั่งเรือนไทยทั้งหลัง เรียกว่าสารพัดประโยชน์ โดยเฉพาะมัณฑนากรและนักออกแบบตกแต่งภายในของไทยจะนิยมใช้มากเนื่องจากสีที่ออกมาดูสว่าง ไม่ดูเข้มหรือฉูดฉาดเกินไป จึงเป็นที่ต้องการมากทำให้ไม้สักมีราคาสูงที่สุด

  • ไม้มะค่า เป็นไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลอมส้ม ลักษณะผิวไม่ค่อยมีลวดลาย เนื้อผิวค่อนข้างแกร่ง ไม้มะค่าพันธุ์ที่มีลวดลายสวยงามคือ ไม้มะค่าโมง แต่ค่อนข้างหายากในปัจจุบัน เป็นไม้ที่มีการยืดหดตัวไม่มาก ดังนั้นไม้มะค่าจึงนิยมนำมาทำเป็นพื้นปาร์เก้ ส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 4”x14” พื้นไม้แผ่นยาว หน้ากว้าง 4” หรือ 6” ไม้บันได ราวบันได ฝ้าชายคาของหลังคาบ้าน โครงสร้างต่างๆ แต่ไม่นิยมนำมาทำงานละเอียดเช่น บานประตู เฟอร์นิเจอร์ นักออกแบบตกแต่งไม่ค่อยนิยมใช้เนื่องจากมีสีฉูดฉาดดูสว่างเกินไป ส่วนระดับราคาใกล้เคียงกับราคาของไม้สักแต่อาจต่ำกว่าเล็กน้อย

ree

  • ไม้แดง เป็นไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลอมแดง เมื่อเคลือบผิวแล้วจะมีสีน้ำตาลเข้มอมแดง เป็นไม้ที่มีเนื้อที่แกร่งมากแต่การยืดหดตัวค่อนข้างสูง จึงนิยมนำมาทำ วงกบประตู งานโครงสร้างไม้ต่างๆ ไม้บันได ราวบันได ฝ้าชายคาของหลังคาบ้าน ส่วนการนำมาเป็นพื้นปาร์เก้ ส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 2”x10” , 2”x12” แต่การนำมาทำเป็นพื้นต้องระวังการยืดหดตัวโดยควรเว้นระยะห่างในการปูพื้นจากผนังค่อนข้างมากเพื่อมิให้พื้นโก่งขึ้นมาในเวลาที่เกิดการขยายตัว ส่วนระดับราคาจะต่ำกว่าไม้มะค่าเป็นเท่าตัว

  • ไม้เต็ง เป็นไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาล แต่มีลวยลายไม่ค่อยสวยงามเพราะมีเสี้ยนหยาบและตาไม้ แต่เป็นไม้เนื้อที่แกร่งการยืดหดตัวไม่มาก จึงนิยมนำมาทำ วงกบประตู งานโครงสร้างไม้ต่างๆ ไม้บันได ราวบันได ฝ้าชายคาของหลังคาบ้าน ส่วนการนำมาเป็นพื้นปาร์เก้ ส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 2”x10” แต่ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมเนื่องจากลวดลายไม่ค่อยสวยงาม ส่วนระดับราคาจะต่ำกว่าไม้แดง

  • ไม้ตะเคียน เป็นไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลออกเหลืองทอง แต่เมื่อใช้งานเป็นเวลานานจะกลายเป็นสีเข้ม เนื้อไม้จะมีตำหนิหรือรูมอดแต่ไม่มีผลต่อความแข็งแรงหรือการใช้งานของไม้ นิยมนำมาทำเป็นวงกบหรือพื้นไม้

  • ไม้ตะแบก เป็นไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลเหลืองอ่อน โดยสีไม้มีความใกล้เคียงกับไม้สักแต่จะมีลายไม่สวยงามเท่ากับไม้สัก และเมื่อโดนความชื้นจะบิดตัวได้ง่าย จึงนิยมนำมาทำเป็น พื้นไม้ ไม้บันได ที่อยู่ภายในบ้านเท่านั้น

  • ไม้จำปา เป็นไม้เนื้ออ่อน มีสีเหลืองอ่อนเนื้อไม้ละเอียด เดิมไม่ค่อยได้รับความนิยมเนื่องจากไม้จำปาจะนำไปต่อโลงศพ แต่ปัจจุบัน นักตกแต่งภายในนิยมนำมาทำสีพ่นอุตสาหกรรม ใช้งานกับบานประตูตกแต่งต่างๆ ให้ผลงานออกมาได้ผิวที่เรียบสวยงาม หรือสีธรรมชาติก็มีความใกล้เคียงกับไม้บีชจากต่างประเทศ

  • ไม้ยางพารา เป็นไม้เนื้ออ่อน ที่มีสีเหลืองอ่อนใกล้เคียงกับไม้นำเข้าจากต่างประเทศ มีราคาไม่แพง แต่เป็นไม้ที่ปลวกชอบ ปัจจุบันมีการปรับปรุงด้วยการเคลือบน้ำยากันปลวก นิยมนำมาทำ ประตู ไม้บันได งานเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ โดยจะความรู้สึกโมเดริ์นเนื่องจากสีองไม้ที่อ่อน

- ไม้ธรรมชาตินำเข้า ส่วนใหญ่จะเป็นไม้สีอ่อน หรือสีค่อนข้างขรึม ในโทนเย็น



ไม้สนสวีเดน ไม้สนโตช้า แข็งแรงสามรถทำโครงสร้างได้ เนื้อสีขาวนวลอมชมพู

ไม้สนอเมริกา ไม้สนอเมริกา มีตา ไม่มีตาไม้

ไม้บีช Europen Beech เป็นไม้นำเข้าจากยุโรป

ไม้แอช ไม้เนื้อแข็งปานกลาง สีออกขาวเหลืองอ่อน ลายสวย เสี้ยนลึก เหมาะแก่การทำพื้นไม้ ทำเฟอร์นิเจอร์


2.ไม้กึ่งธรรมชาติหรือเทียม เป็นไม้ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้เกิดความรู้สึกแบบเดียวกับไม้จริง โดยมีหลายรูปแบบขึ้นกับวิธีการผลิตมีทั้งการนำวัสดุผิวหน้าไม้จริงบางส่วน จนกระทั่’งเป็นวัสดุเทียมทั้งหมด

2.1 พื้นไม้ลามิเนต ไม่ใช่ไม้จริง 100% แต่เป็นไม้สำเร็จรูปที่ผลิตขึ้นมาโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ โดยยังคงมีพื้นฐานที่มีไม้เป็นวนประกอบ คือ แผ่นไม้ลามิเนต หนึ่งแผ่นประกอบไปด้วยชั้นต่างๆ 4 ชั้น ซึ่งชั้นตรงกลางที่มีความหนาที่สุดจะทำมาจากไม้ โดยนำไม้เนื้อแข็งมาย่อยให้เป็นผงละเอียด แล้วนำไปผสมกับสารอื่นๆ จากนั้นจึงทำให้ออกมาเป็น แผ่นโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ โดยเราเรียกวิธีนี้ว่า HDF (High Density Fiber) ซึ่งดูจะได้ไม้ที่ดูคล้ายไม้ธรรมชาติแต่มีความแข็งแรงและยืดหดตัวน้อยกว่าไม้จริงหลายเท่า ส่วนชั้นที่ 2 จะเป็นส่วนของลายไม้ออกแบบโดยคอมพิวเตอร์ซึ่งใช้ปิดทับชั้นไม้ HDF โดยชั้นบนจะเป็นผิวหนังที่ป้องกันการขีดข่วนส่วนล่างจะเป็นแผ่นป้องกันความชื้น แล้วนำทั้ง 4 ชั้น มาเข้ากระบวนการผลิตเพื่อให้ได้ออกมาเป็นแผ่นไม้ลามิเนต ด้วยการนำไปหลอมละลายให้เป็นเนี้อเดียวกันทำให้ไม้ลามิเนตไม่สามารถแยกออกจากกันได้

คุณสมบัติ ของไม้ลามิเนตคือ ติดตั้งได้เร็ว น้ำหนักเบา และทนทาน หลายปีหลายๆคนที่ มีความเชื่อว่าไม้ลามิเนตไม่ดีนั้น ส่วนมากมีปัญหาหลังจากการติดตั้ง และช่างติดตั้งที่ไม่ชำนาญมากพอ ส่วนเรื่องของเสียง ที่เวลาเดินบนไม้ลามิเนตแล้วเกิดเสียงเหมือนไม้กรอบตัวนั้น สาเหตุส่วนใหญ่มาจากพื้นเดิมนั้นไม่ได้ระนาบ มีลักษณะเป็นคลื่น เมื่อติดตั้งไม้ลามิเนตไปแล้วเวลาเราเดินบน พื้นไม้ ทำให้ไม้ยุบตัวลงผ่านรอยคลื่นใต้ไม้ลามิเนตอีกชั้นหนึ่งจึงทำให้เกิดเสียงดังบางครั้ง ติดตั้งไม้ลามิเนตไปแล้ว ไม้เกิดการขยายตัวมากกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม้ลามิเนตมีปัญหา

ไม้ลามิเนตคืออะไร

พื้นไม้ลามิเนตเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความทนทาน สวยงามและติดตั้งง่าย อีกทั้งยังราคาถูกถ้าเทียบกับพื้นไม้ พี้นไม้ลามิเนตมีองค์ประกอบหลายชั้นที่ถูกรวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นชิ้นไม้ที่มีความทนทาน ชั้นบนสุดจะเป็นชั้นใสที่ใช้ป้องกันรอยขูดขีดหรือคราบต่างๆชั้นตกแต่งที่ทำให้ลามิเนตมีลายเหมือนของจริง ชั้นแกนกลางทำมาจาก fiberboard ที่มีความหนาแน่นปานกลางหรือสูง เพื่อใช้รับน้ำหนักและแรงกดจากการเดินไปมา ความแข็งแรงและความคงตัวจะเกิดจากชั้นล่างสุดที่ช่วยให้มันคงรูปร่างได้ ปัจจุบันพี้นไม้ลามิเนตมีระบบล๊อกที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นไม้ การเปลี่ยนจากการเชื่อมต่อด้วยกาวมาเป็นการเชื่อมโดยใช้กลไกเล็กๆน้อยๆก็ทำให้การติดตั้งเป็นไปได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

พี้นไม้ลามิเนต ส่วนมากจะมาพร้อมกับ Option ไร้กาว และมันเหมาะกับทุกลวดลายและพื้นผิว สามารถปรับใช้พี้นไม้ลามิเนตเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายได้ เคาท์เตอร์ ทำครัวเป็นผลิตภัณฑ์แรกๆที่ใช้กับเคาท์เตอร์ทำครัวก็สามารถนำมาปูพื้นได้ ลามิเนตเหมาะกับบริเวณที่ต้องการความทนทาน และในที่สุดมันก็กลายเป็นวัสดุปูพื้นที่ได้รับความนิยมมากทั้งในอเมริกาและที่อื่นๆทั่วโลก

ชั้นต่างๆของไม้ลามิเนตคืออะไร และพวกมันทำมาจากอะไร

พี้นลามิเนตเหมาะ ที่จะใช้กับบริเวณที่มีผู้คนคับคั่ง มันสร้างมาจากโครงสร้างที่แข็งแรง ใช้งานได้หลากหลายและดูเหมือนไม้จริง ชั้นต่างๆของลามิเนตนั้นก็ช่วยทำให้ไม้ลามิเนตมีคุณสมบัติตามข้อกำหนด พื้นไม้ลามิเนตมีลายให้เลือกหลายแบบไม่ว่าจะเป็น ไม้หิน เซรามิก และลายอื่นๆ

ไม้ลามิเนต มีส่วนประกอบ 5 ส่วน ดังนี้

1. Overlay: ผิวหน้าพื้นไม้ลามิเนตชั้นบน: ผิว หน้าของมันจะถูกเคลือบด้วยสารประกอบของเรซิ่น ที่ประกอบไปด้วยสารเคลือบหลายอย่างเช่น อลูมิเนียมออกไซด์ หรือเมลามิน หนาถึง 45 กรัมต่อตรม. ซึ่ง โดยปกติ มาตรฐานจะอยู่ที่ 38 กรัมต่อตรม. จึงทำให้ผิวหน้ามีความเเข็งเเรง ทนทานต่อรอยขีดขูด สิ่งเหล่านี้จะเสริมความแข็งแกร่งของลามิเนต 2. Decorative Layer Paper: ชั้นตกแต่ง ก็คือชั้นของรูปภาพนั่นเอง เป็นส่วนที่ทำให้ลามิเนตมีคุณสมบัติการเลียนแบบพื้นผิวธรรมชาติอย่างเช่นลาย ไม้ทำให้พื้นไม้ลามิเนตมีความเหมือนของจริงมาก ณ ปัจจุบัน DILO Laminate Flooring จำหน่ายและให้บริการ พื้นไม้ ทั้งหมด 3 รุ่น รวมแล้วกว่า 26 สีสัน

3. Core layer-Fiberboard: แกนกลางแผ่นไม้ HDF ชั้นของแผ่นได้บดผสมกาวเรซิน อัดด้วยความร้อนและแรงดันสูง โดยใช้กรรมวิธีการผลิตพิเศษได้รับมาตรฐาน E.1 จึงมั่นใจได้ว่า ปลอดภัยจากสารเคมี ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนแกนกลางของลามิเนตที่ช่วยรับน้ำหนักและแรงกดจากการเดิน ความหนาแน่นสูง HDF =900 กรัม/ตารางเมตร ที่มีความทนทานและทนต่อความชื้น และเรซิ่นอิ่มตัวก็ทำให้มันมีความแข็งมาก


4. Click Lock System & Paraffin Wax: ลางลิ้นระบบคลิกล๊อค เคลือบสารพาราฟินแวกซ์ ระบบการติดตั้งที่ดีที่สุด ทำให้ได้รอบต่อของแผ่นไม้เรียบสนิท โดยไม่ต้องใช้กาวในการติดตั้ง ผนวกกับเคลือบสารพาราฟินแวกซ์ บริเวณส่วนคลิกล๊อค เพื่อป้องกันความชื้นซึมเข้าถึง

5. Balancing Stability Layer: แผ่นปิดผิวชั้นล่างป้องกันความชื้น ชั้นล่างสุดก็คือชั้นที่ช่วยเรื่องความคงตัวและให้เสถียรภาพกับพื้นไม้ และป้องกันความชื้น


AC Rating ของพื้นไม้ลามิเนตคืออะไร?

AC rating คือคำที่ใช้บอกถึงระดับความทนทานของพื้นไม้ลามิเนต มันถูกใช้โดยองค์กรอิสระที่ชื่อว่า European Producers of Laminate Flooring (EPLF) AC rating เป็นโค้ดบอกความทนต่อแรงบีบอัดของพื้นไม้ลามิเนต ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเลือกผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้นและเหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น การกำหนด AC rating นั้น จะต้องมีการทดสอบหลายอย่างเช่น ความทนทานต่อการไหม้ รอยข่วน คราบ และการกระแทก และยังทดสอบไปถึงความทนทานต่อขาของเฟอร์นิเจอร์ ฐานเก้าอี้ หรืออะไรก็ตามที่ต้องวาง และเคลื่อนย้ายบนพื้นด้วย พื้นไม้ลามิเนตจะได้ตรา AC rating ต่อเมื่อผ่านการทดสอบทุกขั้นตอนแล้วเท่านั้น ถ้าไม่ผ่านแม้แต่ขั้นเดียวก็จะไม่ได้ใช้สัญลักษณ์ AC rating ทันที ระดับของ AC rating นั้นจะพิจารณาร่วมกับผลการทดสอบ และสถานที่ที่จะนำไม้ลามิเนตนั้นไปใช้ด้วย คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับ AC rating ระดับ AC rating ต่างๆจะแสดงใน diagram ข้างล่าง อธิบายถึงวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์และความทนทาน ระดับต่างๆจะถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ระดับที่อยู่อาศัยและการค้า ซึ่งจะแบ่งย่อยออกไปตามความหนักเบาในการใช้งาน มีคนเดินผ่านไปมามาก (heavy) ทั่วไป (general) หรือปานกลาง (moderate) คำอธิบายของ AC rating สัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องและการใช้งานที่เหมาะสมจะถูกอธิบายดังนี้

  • AC 1 : 21 (ที่พักอาศัย, เดินผ่านปานกลาง : เหมาะกับห้องนอนหรือห้องรับแขก)

  • AC 2 : 22 (ที่พักอาศัย, เดินผ่านทั่วไป : เหมาะกับห้องนั่งเล่นหรือห้องทานอาหาร)

  • AC 3 : 23 (ที่พักอาศัย, เดินผ่านมาก : ใช้ได้ทุกที่)

  • AC 3 : 31 (สำหรับพื้นที่การค้า, เดินผ่านปานกลาง : เหมาะจะปูห้องในโรงแรมหรือ Office เล็กๆ)

  • AC 4 : 32 (สำหรับพื้นที่การค้า, เดินผ่านทั่วไป : สำนักงาน, ภัตตาคาร, ร้านเสริมสวย, คาเฟ่)

  • AC 5 : 33 (สำหรับพื้นที่การค้า, เดินผ่านมาก : อาคารสาธารณะ, ห้างสรรพสินค้า)

ผู้ผลิตพื้นไม้ลามิเนตทุกรายจะถูกกำหนดให้ต้องทำตามมาตรฐานนี้เพื่อประโยชน์ของลูกค้า ลูกค้าจะต้องตรวจสอบ AC rating ก่อนจะซื้อพื้นไม้ลามิเนตโดยต้องพิจารณาถึงระดับความทนทานที่ต้องการด้วย

พื้นไม้ลามิเนตมีคุณสมบัติอย่างไร?

1. พื้นไม้ลามิเนต ทนต่อรอยขีดข่วน หรือกระทั่งกรงเล็บของสัตว์เลี้ยงของท่าน 2. พื้นไม้ลามิเนต ทนต่อแรงตกหรือกดกระแทก 3. พื้นไม้ลามิเนต ทนความร้อนของก้นบุหรี่ และคราบของนิโคตินสามารถเช็ดออกได้โดยง่าย 4. พื้นไม้ลามิเนต ไม่เป็นคราบ สามารถเช็ดออกได้ง่าย 5. พื้นไม้ลามิเนต สีและลายไม่ซีดจาง แม้จากการตากแดดโดยตรงก็ตาม 6. พื้นไม้ลามิเนต ดูแลรักษาความสะอาดง่าย และทนต่อน้ำยาทำความสะอาดต่างๆที่ใช้ภายใน บ้าน ไม่สามารถทำให้ผิวหน้าเป็นรอยได้ 7. พื้นไม้ลามิเนต ปลอดภัยเนื่องจากพื้นลามิเนตไม่มีขั้นตอนการผลิตที่ต้องใช้สาร Dioxins จึงปลอดภัยต่อ สุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้วยพื้นผิวที่สะอาดถูกสุขอนามัยไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้ 8. พื้นไม้ลามิเนต แข็งแรงมาก แม้การเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ก็ไม่ทำให้เกิดรอย (สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำเมื่อวางของหนักๆบนพื้นก็คือใช้สักหลาดรองส่วนที่ สัมผัสกับพื้นเท่านั้นเอง) 9. พื้นไม้ลามิเนต ติดตั้งได้ง่ายและเร็ว สามารถติดตั้งทับบนพื้นเดิมได้เลย

ข้อควรทำและควรเลี่ยงสำหรับพื้นไม้ลามิเนต

บอกได้ว่าพื้นไม้ลามิเนตนั้นไม่ต้องการการดูแลมาก แต่ก็มีบางสิ่งที่ควรจะนึกถึงไว้ก่อนที่จะเลือกซื้อ และควรนึกถึงเมื่อคุณได้ติดตั้งไปแล้ว ซึ่งประเด็นที่ควรพิจารณาก็มีดังนี้

ควรทำ :

  • คิดถึงสถานที่ที่คุณจะปูพื้น ตัดสินได้จากการเดินผ่านไปมาว่ามากน้อยขนาดไหนและระดับความชื้น เพื่อที่คุณจะสามารถตัดสินใจได้ว่าพื้นแบบไหนเหมาะที่สุด อย่าลืมเช็ค AC rating ด้วย

  • เลือกแผ่นรองที่สามารถป้องกันความชื้นที่มาจากใต้พื้นได้

  • อ่านคู่มือการติดตั้งอย่างละเอียด

  • จ้างช่างมาถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะทำได้

  • ต้องมั่นใจว่าชั้นใต้พื้นได้ระดับ สะอาดและแห้ง

  • เมื่อคุณปูพื้นไม้ลามิเนต คุณควรจะเว้นระยะห่างจากเส้นรอบวงของบริเวณที่คุณจะปูสัก 10 มม. ซึ่งรวมไปถึงการเว้นระยะห่างนี้ให้กับเครื่องเรือนหรือวัสดุที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ด้วย คุณควรเว้นไว้เพราะต้องเผื่อการขยายตัวด้วย เมื่อใช้ไปพื้นไม้ลามิเนตจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิบ้าง

  • เมื่อปูพี้นไม้ลามิเนตไปแล้ว ถ้าเกิดมีอะไรหกลงพื้นก็ควรทำความสะอาดอย่าปล่อยทิ้งไว้นาน

  • ใช้ไม้ม๊อบหมาดๆหรือเครื่องดูดฝุ่นทำความสะอาด

  • ใช้แผ่นรองขาเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอี้ เพื่อลดโอกาสการเกิดรอยขีดข่วน

  • ถ้าทำได้ก็ให้ยกเฟอร์นิเจอร์หนักๆอย่าลากไปตามพื้น

  • นอกจากแผ่นรองขาแล้ว ให้ใช้ชิ้นผ้ารองเฟอร์นิเจอร์หนักๆใหญ่ๆก่อนที่จะเคลื่อนย้ายมันบนพื้นลามิเนตของคุณ ถ้ามันหนักมากก็อย่าลืมหาผู้ช่วยมาด้วย

  • ถ้าห้องของคุณถูกแสงแดดโดยตรงก็ควรปิดผ้าม่านหรือที่บังแดดเพื่อลดโอกาสการเกิดสีซีดจาง

หลีกเลี่ยง :

  • การปูพื้นไม้ลามิเนตบนพื้นพรม

  • ปูพื้นไม้ลามิเนตบริเวณที่ความชื้นสูง

  • ปูทั้งๆที่แถวแรกมันเบี้ยว แถวแรกมีความสำคัญต่อการปูพื้นที่เหลือทั้งหมดมาก

  • ใช้แว๊กซ์ น้ำยาขัดเงา หรือน้ำยาขัดพื้นทำความสะอาดพื้นไม้ลามิเนต เพราะมันจะก่อความเสียหายได้

  • การเคลือบเงาหรือขัดพี้นไม้ลามิเนต

  • ใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของสบู่ หรือน้ำยาขัดเงาต่างๆบนพื้นไม้ลามิเนต

  • เดินบนพื้นไม้ลามิเนตขณะสวมรองเท้าส้นแหลม หรือรองเท้ากีฬาที่ปุ่มมีโลหะหรือเดือย

  • ราดน้ำลงบนพื้นเพื่อทำความสะอาด นั่นอาจทำให้พื้นไม้ลามิเนตของคุณกลายเป็นลอนๆได้



2.2 ไม้พื้นเอ็นจิเนียร์ Engineered Wood Flooring คือไม้ที่ทำการปรับคุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ให้มีความเหมาะสมมากที่สุดทั้งทางด้านความคงทน และ ความสวยงาม จนไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างไม้จริง (Solid Wood Flooring) กับไม้เอ็นจิเนียร์ เมื่อติดตั้งออกมา เนื่องจากผิวหน้าของไม้เอ็นจิเนียร์ก็คือไม้จริงนั่นเองพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ หรือ Engineered Wood Flooring ประกอบไปด้วยส่วนประกอบสำคัญหลัก 3 ชั้นด้วยกัน ได้แก่

1. ชั้นผิวหน้าไม้จริง ความหนา 3 มิลลิเมตร โดยทางโรงงานของดับเบิลฟลอร์ มีการนำเข้าชุงไม้หลากหลายชนิด ตามแหล่งประเทศที่ปลูก เพื่อนำมาฝานเป็นผิวหน้าไม้ให้ลูกค้าเลือกสรรค์ ตัวอย่างเช่น ไม้โอ้ค ไม้แอช ไม้บีช ไม้มะค่า ไม้สักแอฟริกา ไม้เมอเบาว์ ไม้เมเปิ้ล ไม้วอลนัท และ อื่นๆ อีกมากมาย

2. ใส้ไม้ชั้นกลาง วัสดุที่เรานำมาทำเป็นไส้ไม้ชั้นกลาง คือ ไม้จริง ประเภทไม้ยางพารา ที่เรานำมาฝานเป็นชิ้นเล็กๆ และนำมาเรียงตัว 90 องศา กับผิวหน้าไม้จริง และเว้นช่องไฟเล็กน้อย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับพื้นไม้ และ ให้มีอากาศได้ถ่ายเท จึงทำให้พื้นไม้มีการยืดหดขยานตัวต่ำ เมื่อเทียบกับไส้ไม้อัดทั่วไปตามท้องตลาด

3. ผิวไม้ชั้นล่างสุด เป็นวัสดุไม้ยางพาราเต็มแผ่น นำมาประกบหลังพื้นไม้ เป็นชั้นล่างสุด เพื่อสร้างความสมดุล และ เพิ่มความแข็งแรงให้กัยพื้นไม้เอ็นจิเนียร์

นอกจากนี้กรรมวิธีการผลิตพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ของเรา ยังประกอบไปด้วยกระบวนการต่างๆ อีกมากมาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวหน้าไม้ ตัวอย่างเช่นกระบวนการอบไม้ และพ่นกันปลวกและมอด กระบวนการเคลือบผิวหน้าด้วยยูวี จากโรงงาน หรือ กระบวนการ ย้อมสี ปัดเสี้ยนไม้ให้ได้ความสวยงาม เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าเป็นต้น

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ราคาแพงไหม ?

ไม้จริง หรือ Solid Wood Flooring นอกจากจะมีราคาสูงแล้ว ยังมีค่าติดตั้งที่แพงกว่า อีกทั้งระยะเวลาการติดตั้ง ใช้ระยะเวลานานเป็นเดือน เนื่องจากต้องขัด และ ทำสีหลังติดตั้งเสร็จ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ไม้เอ็นจิเนียร์นั้น ราคาการติดตั้งไม่แพง เมื่อเทียบกับไม้จริง เนื่องจากเราได้ทำการเคลือบผิวหน้าพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ โดย ผ่านเครื่อง UV มาจากโรงงานแล้ว พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ จึงสามารถใช้งานได้เลยหลังติดตั้งเสร็จ โดยเฉลี่ยทีมงานของดับเบิลฟลอร์ สามารถติดตั้งได้ประมาณ 100 ตารางเมตร ต่อวัน ต่อ ทีม

ไม้เอ็นจิเนียร์สามารถซื้อได้ที่ไหน ?

ลูกค้าสามารถหาซื้อไม้เอ็นจิเนียร์ได้ที่ บริษัท ดับเบิลฟลอร์ จำกัด โดยโชว์รูมของเรา ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ระหว่างซอยสุขุมวิท 74 และ สุขุมวิท 72 ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS แบริ่ง

เราคือผู้จำหน่ายไม้เอ็นจิเนียร์ ที่กล้าพูดได้ว่ามีสินค้าที่คัดมาจากแหล่งผลิตชั้นเยี่ยมในโลก โดยไม้แต่ละชนิดจะมาจากแหล่งที่ปลูกพันธ์ไม้นั้นๆโดยเฉพาะ และเรายังมีบริการติดตั้งด้วยทีมช่างมืออาชีพที่มีประสบการณ์สูง นอกจากนี้เรายังสามารถผลิตไม้เอ็นจิเนียร์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ไม้เอ็นจิเนียร์สำหรับติดตั้งลายก้างปลา และ ไม้เอ็นจิเนียร์ตัดหัวแหลมสำหรับติดตั้งลายธนู เป็นต้น

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์เหมาะกับการติดตั้งบริเวณใด?

พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Woof Flooring) ก็เหมือน พื้นไม้จริง (Solid Wood Flooring) กล่าวคือ เป็นวัสดุตกแต่งภายในบ้าน ไม่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งนอกบ้าน และ พื้นห้องที่เหมาะสมสำหรับติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ จึงควรเป็นห้องที่ไม่มีนำ้ และ ความชื้นเข้าถึงได้ ตัวอย่างห้องต่างๆที่นิยมติดตั้งพื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น ห้องออกกำลังกาย เหมาะสมกับทั้งงานบ้าน โรงแรม และ คอนโดมิเนียม โดยเฉพาะคอนโดที่ต้องการตกแต่งห้องให้สวยงาม น่าอยู่ และ มีกลิ่นอายของพื้นไม้จริง ที่มีลวดลายตามธรรมชาติ และ สีที่เข้มอ่อน ของไม้สลับกันไป อย่างน่าค้นหา จะเห็นได้ว่า ตามคอนโดส่วนใหญ่ มักเลือกใช้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ในห้องส่วนกลาง เช่น ห้องสมุด ห้องโถง ห้องกิจกรรม หรือ แม้กระทั่งห้อง ฟิตเนส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคอนโดมิเนียมระดับบน ยังเลือกใช้พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ เพื่อนำมาตกแต่งพื้นให้สวยงาม ดูดีมีราคา เหมาะกับคอนโดแบบลักชัวรี่ อีกด้วยครับ เมื่อเราเดินเข้าไปในห้องที่ติดตั้งด้วยพื้นไม้จริง หรือ พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างที่เด่นชัด ที่สามารถรับรู้ได้คือ กลิ่นของไม้ที่มีความหอมอันเป็นลักษณะเด่นของไม้ชนิดนั้นๆเป็นไปตามธรรมชาติ รวมถึง ลวดลาย และ สีของไม้ที่ ธรรมชาติให้มา แบบที่วัสดุสังเคราะห์อื่นๆต้องการลอกเลียนแบบ แต่ก็ไม่สามารถทำได้

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก http://www.doublefloor.co.th.

2.3 ไม้เทียมส่วนผสมซีเมนต์ กลุ่มนี้คือไม้เทียมที่ผลิตจากปูนซีเมนต์กับส่วนผสมที่เป็นเส้นใย เพื่อให้ซีเมนต์มีความยืดหยุ่นเกิดคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับไม้แต่มีข้อดีคือปลวกไม่กิน ยกเว้นว่าเส้นใยที่นำมาผสมเป็นเส้นใยจากไม้ธรรมชาติ ไม้เทียมประเภทนี้มีหลายยี่ห้อโดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ เช่น

- คอนวูด (conwood) เป็นการผลิตไม้เทียมที่ใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์และเซลลูโลสไฟเบอร์เป็นส่วนผสม จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นใกล้เคียงกับไม้ธรรมชาติ มีความแข็งแรงทนทานเทียบเท่าคอนกรีต ไม้เทียมคอนวูดใช้ในงานก่อสร้างได้หลายอย่าง เช่น ใช้เป็นไม้เชิงชาย ไม้ระแนง ไม้บัวพื้น ไม้ผนังบันได ไม้บังตา ไม้มอบ และไม้จบบัว ฯลฯ เป็นต้น

-ไม้เทียมสมาร์ทวูด ตราช้าง (SmartWood) เป็นผลิตภัณฑ์ไม้สังเคราะห์อีกประเภทหนึ่ง ที่ได้ยกเลิกการใช้ใยหินเป็นส่วนผสมและใช้เส้นใยเซลลูโลสแทน ทำให้ได้เนื้อไม้เทียมที่มีความเหนียวมากขึ้น ดัดโค้งงอได้ง่าย ทนแดด ทนฝน ใช้ได้ทั้งงานภายในและภายนอกอาคาร

-ไม้เทียมเฌอร่า (Shera) เป็นไม้เทียมที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ ทรายละเอียด ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์และน้ำ ผลิตภายใต้เทคโนโลยีออโต้เคลฟ ที่ใช้ความดันไอน้ำและอุณหภูมิสูง เพื่อขับไล่ความชื้นจากผลิตภัณฑ์ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของไม้เทียมเฌอร่ามีคุณสมบัติที่แข็งแกร่ง ทนแดด ทนฝนและมีความสวยงามเหมือนไม้จริง


2.4 Wood Plastic ผลิตขึ้นจากกระบวนการนำผงไม้และเม็ดพลาสติกชนิดต่างๆ มาผ่านขบวนการผลิต ขึ้นรูปโดยการฉีด หรือรีดเป็นรูปร่างตามที่ต้องการ และสามารถใช้งานได้จริง

ข้อดีของไม้เทียม คือ

1. ปลวก/แมลงไม่กิน และไม่ลามไฟ 2. ทนต่อสภาพอากาศ เช่น แช่น้ำ ทนแดด ฝน ลม และไอทะเล เหมาะกับสภาพอากาศในบ้านเรา 3. สามารถเลื่อย ตัด เจาะ ขูดเสี้ยน ได้ง่ายเหมือนไม้ธรรมชาติ 4. ราคาใกล้กับไม้จริง 5. ไม่ต้องทาสี ผสมสีในตัว 6. ไม่อุ้มน้ำ

จากคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ความนิยมในการใช้ไม้เทียมมีมากขึ้น โดยเริ่มจากการนำมาใช้เป็น ไม้ปูพื้น ตงไม้ระแนง รั้ว ฝ้า ผนัง ซึ่งใช้ได้ทั้งเป็นวัสดุหลัก และตบแต่ง ซึ่งปกติผู้ผลิตมักจะมีการระบุหรือกำหนดวิธีการใช้วัสดุดังกล่าว ซึ่งมักจะมีความสามารถในการรับแรงน้อยกว่าไม้จริง ซึ่งมีผู้นำไปใช้เป็นไม้ในส่วนระเบียงบ้าน โดยวางไม้พื้นบนตงที่มีระยะ 0.50 มม. ซึ่งเป็นระยะปกติสำหรับวางพื้นไม้ และระยะตง จะต้องไม่เกิน 35 ซม. เพื่อป้องกันการเลื้อยของไม้ เมื่อโดนความร้อนมากๆ

สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกใช้ไม้เทียมแทนไม้จริง

1. ตรวจสอบข้อกำหนดของไม้แต่ละยี่ห้อ, ข้อแนะนำการใช้งานของไม้เทียม โดยเฉพาะความสามารถในการรับน้ำหนัก, ระยะพาดของตง และข้อกำหนดในการติดตั้งควรกำหนดในแบบให้ชัดเจน ตลอดจนกำชับผู้รับเหมาให้เข้าใจตรงกัน 2. หากมีความจำเป็นที่ต้องใช้ไม้พื้นดังกล่าวในที่สูง เพื่อป้องกันอันตรายจากปัญหาพื้นหักแตกออกมา ควรเตรียมการเสริมตะแกรงเหล็กด้านล่างพื้น เพื่อป้องกันการตกจากที่สูง 3. ไม้เทียมบางชนิด ที่แตกง่าย ไม่ควรนำไม้เทียมมาใช้เป็นกันตก หรือราวระเบียง เนื่องจากหากมีการพิงหรือนั่งบนราว อาจจะแตกพังลงมาได้ 4. หากต้องการใช้ไม้เทียม ควรนำมาใช้ในพื้นที่ระดับไม่สูงจากพื้นมากนัก เช่น พื้นทางเดินรอบบ้าน พื้นศาลาที่มีโครงสร้างพื้นรับอยู่ด้านล่าง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://durasur.com/wood/

ree

 
 
 

ความคิดเห็น


© 2024 by DCิbuilder  บริษัท ดีซีบิลเดอร์ จำกัด

193/58 ถ.บริพัตร ป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โทร. 089-891705

bottom of page